วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

เครื่องปรุงรสในครัว


เครื่องปรุงรสเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารเพื่อทำให้อาหารนั้นๆ มีรสชาติกลมกล่อม อร่อย น่ารับประทาน  และยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดทำให้อาหารอร่อย เครื่องปรุงรสที่มีอยู่ในห้องครัวที่จะแนะนำก็มีดังนี้


ซอสพริก  จะมีรสชาติ เปรี้ยวอมหวาน เผ็ดเล็กน้อย ใช้ในการผัด เป็นน้ำจิ้ม หรือใช้เพิ่มสีสันในอาหารก็ได้ เช่น สปาเก็ตตี้ มักกะโรนี ข้าวผัดอเมริกัน เป็นต้น   และมักจะพบการใช้ซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศในอาหารตะวันตกเป็นส่วนมาก



น้ำส้มสายชู จะมีรสเปรี้ยว ใช้ในการปรุงอาหารเพิ่มรสเปรี้ยว ใช้แทนมะนาว หรือใช้ล้างผักก็ได้ เช่น ผัดไท ต้มยำ ยำต่างๆ เป็นต้น 
แต่การทานน้ำส้มสายชูมากๆอาจทำให้ท้องเสียได้



น้ำปลา จะมีรสเค็ม ใช้ในการปรุงอาหารเพิ่มรสเค็ม เช่น ไก้ต้มน้ำปลา กุ้งแช่น้ำปลา และน้้ำจิ้มต่างๆ เป็นต้น



ซีอิ๊วขาว จะมีรสเค็ม หวานเล็กน้อย ใช้ปรุงอาหารให้กลมกล่อม ใช้ผัด ทอด แกง ต้มก็ได้ ส่วนมากซีอิ๊วขาวจะใช้ประกอบอาหาร จีน ญี่ปุ่น



น้ำตาล จะให้รสหวาน ใช้ปรุงรสอาหารเพิ่มรสหวาน เช่นการต้ม ผัด ทอด และน้ำตาลก็เป็นส่วนประกอบหลักในการปรุงอาหารหลายอย่าง หรือเราสามารถนำน้ำตาลมากำจัดขนและสครับหน้าก็ได้



เครื่องปรุงรสในครัวนั้นมีอีกมากมายหลายอย่างขึ้นอยู่กับการประกอบอาหารแต่ละอย่างที่เราจะนำเครื่องปรุงรสมาใช้และเครื่องปรุงรสไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติให้อาหารอย่างเดียว  แต่ยังมีประโยชน์ในการเพิ่มแร่ธาตุต่อร่างกาย นำไปใช้ด้านความงามก็ได้ 




วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พระประจำวันเกิด


พระพุทรูปประจำวันเกิดจะมีทั้งหมด 7 ปาง ตามวันในสัปดาห์ คือ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และเสาร์ และปางวันพุธกลางคืน  พระประจำวันเกิด ของตนเองคือพระพุทธรูปปางอะไร แต่เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้จักที่มาที่ไป  เราเลยเอาประวัติย่อมาให้ได้อ่านกัน!!!


1.คนที่เกิดวันอาทิตย์


พระประจำวันเกิดคือ ปางถวายเนตร
ลักษณะพระพุทธรูป:  พระพุทธรูปปางนี้อยู่ในพระอริยาบถยืน ลืมพระเนตรทั้งสองข้างเพ่งไปข้างหน้า ทอดพระเนตรดูต้นศรีโพธิ์พฤกษ์ พระหัตถ์ทั้งสองลงมาประสานกันอยู่ข้างหน้าระหว่างพระเพลา พระหัตถ์ขาวทับพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในอาการสังวร

ประวัติย่อ: เมื่อครั้งพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขอันเกิดจากความสงบ) อยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นระยะเวลา 7 วัน จากนั้นได้เสด็จไปประทับยืน ณ ที่กลางแจ้งทางทิศอีสานของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตรเลยตลอดระยะเวลา 7 วัน ซึ่งสถานที่ประทับยืนนี้ได้มีนามปรากฏว่า "อนิมิสเจดีย์" มาจนปัจจุบัน เป็นเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปปางนี้เรียกว่า ปางถวายเนตร นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปเพื่อสักการะบูชาประจำของคนเกิดวันอาทิตย์ 


2.คนที่เกิดวันจันทร์

พระประจำวันเกิดคือ ปางห้ามญาติ
ลักษณะพระพุทธรูป :พระพุทธรูปปางนี้นอยู่ในพระอริยาบถยืน
จะยกพระหัตถ์ขวาขึ้นห้ามเพียงมือเดียวยกขึ้นเสมอพระอุระ ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้า เป็นกิริยาทรงห้าม 

ประวัติย่อ: ปางห้ามญาติเกิดขึ้นเนื่องจากพระญาติฝ่ายพุทธบิดาคือกรุงกบิลพัสดุ์ และพระญาติฝ่ายพุทธมารดา คือ กรุงเทวทหะ ซึ่งอาศัยอยู่บนคนละฝั่งของแม่น้ำโรหิณี เกิดทะเลาะวิวาทแย่งน้ำเพื่อไปเพาะปลูกกันขึ้น ถึงขนาดจะยกทัพทำสงครามกันเลยทีเดียว พระพุทธองค์จึงต้องเสด็จไปเจรจาห้ามทัพ คือ ห้ามพระญาติมิให้ฆ่าฟันกัน

3.คนที่เกิดวันอังคาร


พระประจำวันเกิดคือ ปางไสยาสน์
ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถบรรทมตะแคงขวา เมื่อคราวจะปรินิพพาน หลับพระเนตร พระเศียรหนุนพระเขนย พระหัตถ์ซ้ายทอดทายไปตามพระวรกายเบื้องซ้าย พระหัตถ์ขวาหงายวางอยู่ที่พื้นข้างพระวรกาย พระบาทซ้ายทับพระบาทขวาลักษณะตั้งซ้อนกัน

ประวัติย่อ: ปางไสยาสน์ หรือบางทีก็เรียก ปางปรินิพพาน เป็นพุทธประวัติตอนที่พระพุทธองค์ได้รับสั่งให้พระจุนทะเถระปูอาสนะลงที่ระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง แล้วทรงประทับบรรมทมแบบสีหไสยา ตั้งพระทัยไม่เสด็จลุกขึ้นอีก แต่ก็ยังได้โปรดสุภัททะปริพาชกเป็นอรหันต์องค์สุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายพากันเศร้าโศก ร่ำไห้ คร่ำครวญถึงพระองค์ พระอานนท์และพระอนุรุทธเถระได้แสดงธรรมเพื่อปลอบโยนมหาชน พุทธศาสนิกชนเมื่อรำลึกถึงการเสด็จปรินิพพานของพระองค์ จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้น เพื่อบูชาพระพุทธองค์

4.คนที่เกิดวันพุธกลางวัน



พระประจำวันเกิดคือ ปางอุ้มบาตร
ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ส้นพระบาททั้งสองชิดติดกัน พระหัตถ์ทั้งสองข้างชิดกัน พระหัตถ์ทั้งสองยกประคองบาตรราวสะเอว มีบาตรอยู่ฝ่าพระหัตถ์ในท่าประคอง

ประวัติย่อ:  เมื่อพระพุทธเจ้าได้สำแดงอิทธิปาฏิหารย์ เหาะขึ้นไปในอากาศต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลาย เพื่อให้พระญาติผู้ใหญ่ได้เห็น และละทิฐิถวายบังคมแล้ว จึงได้ตรัสเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก ครั้นแล้วพระญาติทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับโดยไม่มีใครทูลอาราธนาฉันพระกระยาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์เป็นราชโอรสและพระสงฆ์ก็เป็นศิษย์ คงต้องฉันภัตตาหารที่จัดเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระพุทธองค์กลับพาพระภิกษุสงฆ์สาวกเสด็จจาริกไปตามถนนหลวงในเมือง เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้)อันเป็นกิจของสงฆ์ และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้มีโอกาสชมพระพุทธจริยาวัตรขณะทรงอุ้มบาตรโปรดสัตว์ ประชาชนจึงต่างแซ่ซ้องอภิวาทอย่างสุดซึ้ง แต่ปรากฏว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็เข้าใจผิดและโกรธพระพุทธองค์ หาว่าออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงอธิบายว่า การออกบิณฑบาตรเป็นการไปโปรดสัตว์ มิใช่การขอทาน จึงเป็นที่เข้าใจกันในที่สุด

5.คนที่เกิดวันพุธกลางคืน


 พระประจำวันเกิดคือ ปางป่าเลไลย์ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งบนก้อนศิลา ห้อยพระบาททั้งสองข้างลง ทอดพระบาทเล็กน้อย พระหัตถ์ซ้ายคว่ำวางบนพระชานุซ้าย พระหัตถ์ขวาหงายวางบนพระชานุขวาเป็นกิริยาทรงรับ มีช้างหมอบถือน้ำยื่นถวาย และมีลิงหมอบถือรวงผึ้งถวายอยู่ข้างหน้า 

ประวัติย่อ:สำหรับปางนี้กล่าวถึงเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี ครั้นนั้นพระภิกษุมีมากรูปด้วยกัน และไม่สามัคคีปรองดอง ไม่อยู่ในพุทธโอวาท ประพฤติตามใจตัว พระองค์จึงเสด็จจาริกไปอยู่ตามลำพังพระองค์เดียวในป่าที่ชื่อว่าปาลิไลยกะ โดยมีมีพญาช้างเชือกหนึ่งชื่อ "ปาลิไลยกะ" เช่นเดียวกัน มีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ มาคอยปฏิบัติบำรุงและคอยพิทักษ์รักษามิให้สัตว์ร้ายมากล้ำกราย ทำให้พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ในป่านั้นด้วยความสงบสุข และป่านั้นต่อมาก็ได้ชื่อว่า "รักขิตวัน"ครั้นพญาลิงเห็นพญาช้างทำงานปรนนิบัติพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ก็เกิดกุศลจิตทำตามอย่างบ้าง ต่อมาชาวบ้านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ไม่พบ และทราบเหตุ ก็พากันตำหนิติเตียน และไม่ทำบุญกับพระเหล่านั้น พระภิกษุเหล่านี้จึงได้สำนึก ขอให้พระอานนท์ไปทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์กลับมา ช้างปาลิไลยกะก็มาส่งเสด็จด้วยความเศร้าเสียใจ จนหัวใจวายล้มตายไป ด้วยกุศลผลบุญจึงได้ไปเกิดเป็น "ปาลิไลยกะเทพบุตร" 

6.คนที่เกิดวันพฤหัสบดี


พระประจำวันเกิดคือ ปางตรัสรู้ หรือปางสมาธิ
ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองหงายวางซ้อนกัน บนพระเพลา คือพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย พระชงฆ์ขาวทับพระสงฆ์ซ้าย

ประวัติย่อ:ปางตรัสรู้ คือ ปางที่เจ้าชายสิทธัตถะหรือพระโพธิสัตว์ทรงประทับขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้าคาใต้ต้นมหาโพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา และได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ซึ่งก็ตรงกับวันวิสาขบูชานั่นเอง


7.คนที่เกิดวันศุกร์


พระประจำวันเกิดคือ ปางรำพึง
ลักษณะพระพุทธรูป:
 พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานยกขึ้นประทับที่พระอุระ พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย พระบาททั้งสองประทับยืนชิดติดกัน

ประวัติย่อ:ภายหลังจากที่ตรัสรู้ได้ไม่นาน พระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ภายใต้ต้นไทร ก็ได้ทรงรำพึงพิจารณาถึงธรรมที่ตรัสรู้ว่าเป็นธรรมที่มีความละเอียดลึกซึ้ง ยากที่มนุษย์ปุถุชนจะรู้ตามได้ จึงเกิดความท้อพระทัยที่จะไม่สั่งสอนชาวโลก ด้วยรำพึงว่าจะมีใครสักกี่คนที่ฟังธรรมะของพระองค์เข้าใจ ร้อนถึงท้าวสหัมบดีพรหมได้มากราบทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรมว่าในโลกนี้บุคคลที่มีกิเลสเบาบางพอฟังธรรมได้ยังมีอยู่ พระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้วก็เห็นชอบด้วย อีกทั้งทรงรำพึงถึงธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ว่าตรัสรู้แล้วก็ย่อมแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนทั้งปวง จึงได้น้อมพระทัยในอันที่จะแสดงธรรมต่อชาวโลกตามคำอาราธนานั้น และตั้งพุทธปณิธานจะใคร่ดำรงพระชนม์อยู่จนกว่าจะได้ประกาศพระพุทธศาสนา ให้แพร่หลายประดิษฐานให้มั่นคงสำเร็จประโยชน์แก่ชนนิกรทุกหมู่เหล่าต่อไป พระพุทธจริยาที่ทรงรำพึงถึงธรรมที่จะแสดงโปรดชนนิกรผู้เป็นเวไนยบุคคลนั้นแล เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า ปางรำพึง

8.คนที่เกิดวันเสาร์


พระประจำวันเกิดคือ ปางนาคปรก
ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบ ทรงหงายพระหัตถ์ทั้งสองแบวางซ้อนกัน บนพระเพลา พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้าย มีพญานาคแผ่พังพานปกคลุมเบื้องพระเศียร 

ประวัติย่อ: เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ และประทับบำเพ็ญสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอันเกิดจากความพ้นกิเลสอยู่ ณ อาณาบริเวณที่ไม่ไกลจากต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งละ 7 วันนั้น ในสัปดาห์ที่ 3 นี้เอง ก็ได้ไปประทับใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) ขณะนั้นฝนได้ตกลงมาไม่หยุด พญานาคตนหนึ่งชื่อ "มุจลินท์นาคราช" ก็ได้ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์เข้าไปวงขนด 7 รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าไว้มิให้ฝนตกต้องพระวรกาย เหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาวสาดต้องพระวรกาย ทั้งป้องกันเหลือบ ยุง บุ้ง ร่าน ริ้น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวลด้วย จนฝนหาย จึงได้แปลงร่างเป็นมาณพเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์

สำหรับคนที่จำวันเกิดไม่ได้ 

พระเกตุ

ในรูปภาพพระปางเดียวกันกับพระเกตุ


พระประจำวันเกิดคือ ปางสมาธิเพชร
ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิไขว้พระชงฆ์ (แข้ง) หงายฝ่าพระบาททั้งสองข้าง พระหัตถ์วางซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้าย

ประวัติย่อ: หลังจากที่พระมหาบุรุษรับหญ้าคาจากนายโสตถิยะแล้ว ทรงปูลาดที่โคนต้นโพธิ์แล้วประทับนั่งพร้อมอธิฐานความเพียรครั้งสำคัญว่า "หากไม่ตรัสรู้ก็ไม่ลุกจากที่นี่ ไม่ว่าเลือดและเนื้อในกายจะเหี่ยวแห้งจนถึงสิ้นชีวิตก็ตาม" ด้วยพระทัยที่แน่วแน่และมั่นคงพระองค์จึงชนะอุปสรรค และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา







อ้างอิง: http://hilight.kapook.com/view/27407
             http://www.mahamodo.com/tamnai/pra_day8born.aspx 




















วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ยินดีต้อนรับสู่เคล็ดลับผิวสวย
ภาพจากhttp://goo.gl/yCcMc 
สาวๆท่านใดหรือหน่มๆ อยากมีผิวที่สวย ใส  ขาว เรามีเคล็ดลับหรือวิธีการทำให้ผิวสวยของเราสวยได้และไม่สิ้นเปลื้องเงินในกระเป๋าเราด้วยค่ะ เป็นเคล็ดลับง่ายๆและปลอดภัยค่ะ  มาบอกทุกท่านค่ะ!!!!

เคล็ดลับทำให้ผิวมีสุขภาพดี

ภาพจากhttp://goo.gl/yflG0



 ถ้างั้นเราลองไปดูพร้อมๆกันเลยดูสิว่าจะมีสูตรที่จะทำให้สวยโดยธรรมชาติได้อย่างไรไปดูกันเลยจ้า !!!
สูตรวิธีที่1 ให้สาวนั้นนำ น้ำตาลทรายแดงมาผสมกับนมเพียงเท่านี้ ผลิตภัณฑ์ขัดผิว ที่ทำให้คุณมีผิวสวยขาวได้ง่าย
สูตรวิธีที่2 ให้สาวนั้นนำ โยเกิร์ตนั้นมาผสมกับน้ำผึ้ง เพื่อเป็นการรักษาและบรรเทารอยแดงให้กับผิวที่แพ้ง่าย
สูตรวิธีที่3 ให้สาวนั้นนำ น้ำมันดอกคำฝอยมาผสมกันกับ น้ำมันทานตะวัน เพียงเท่านี้คุณก็จะมี ทรีทเมนท์เอาไว้บำรุงหนังศีรษะได้ง่ายๆแล้ว
สูตรวิธีที่4 ให้สาวนั้นนำ ปิโตรเลียมเจลลี่ มาผสมกับเจ้าน้ำตาลทรายแดงที่ไม่ฟอกเป็นสีขาว เพียงแค่นี้คุณก็จะได้สครับที่จะเอาไว้สคับริมฝีปากให้มีริมฝีปากที่อมชมพูน่าจุ๊ฟฟกันเลยทีเดียว        
สูตรวิธีที่5  ให้สาวนั้นนำ เกลือ มาผสมกับน้ำเปล่า เพียงเท่านี้คุณก็ได้สเปรย์สำหรับเส้นผมเอาไว้จัดทรงได้เป็นอย่างดี
สูตรวิธีที่6  ให้สาวนั้นนำ นั้นนำเอาน้ำกุหลาบมาผสมกับกะทิ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ครีมอาบน้ำที่จะทำให้คุณนั้นผ่อนคลายและมีสุขภาพผิวที่ดี
สูตรวิธีที่7 ให้สาวนั้นนำน้ำมันมะกอกอุ่นๆ เพียงเท่านี้ก็ได้มีทรีตเมนต์ผมที่สวยได้ง่ายๆ
สูตรวิธีที่8  ให้สาวนั้นนำ ชาเขียวมาผสมกันกับน้ำเปล่า เพียงเท่านี้คุณก็จะได้โทนเนอร์เอาไว้เช็คน่าแล้ว
สูตรวิธีที่9  ให้สาวนั้นนำเอา น้ำมะนาวมาผสมกับ ชาคาโมมายล์ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ไฮไลต์เส้นผม
สูตรวิธีที่10 ให้สาวนั้นนำเอา ดีเกลือฝรั่งมาผสมกับ น้ำมันอัลมอนด์แล้วให้นำน้ำมันอบเชยมาผสมอีก + น้ำมันอบเชย +น้ำมันแซนดัลวู้ด + น้ำมันเครื่องเทศรวม เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ สครับสำหรับมือและเท้ากันได้ง่ายๆแล้วจ้า!!
หากสาวๆท่านใดสนใจก็ลองนำไปใช้ได้แต่จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล